9 ทริคง่าย ๆ เรียกสมาธิก่อนทำงาน

เคยไหม มาทำงานแต่เช้า นั่งทำงานหน้าจอทั้งวัน แทบไม่ได้ลุกไปไหน ไม่ได้เม้าท์มอยกับใครเลย แต่เหมือนงานแทบจะไม่เดินไปไหน หรืองานไม่ไวดั่งใจ บางก็นั่งงงกับไฟล์ที่มี จะเริ่มตรงไหนก่อนดี หรือมีแผนงานที่ต้องทำ แต่พอลงมือเหมือนเป็นปลาทอง จำไม่ได้เสียอย่างนั้น เรามีทริคที่จะช่วยเพิ่มสมาธิให้ทำงานเสร็จไวขึ้น หรืออย่างน้อยก็ทำงานได้ตรงตามเวลาที่คิดไว้ มีเทคนิคอะไรบ้าง ไปดูกันเลย 

ทำใจให้สงบ 

ทำใจให้สงบ

ก่อนเริ่มงาน ลองหามุมสงบ ๆ หรือมุมโปรด แล้วนั่งหลับตาหายใจเข้า-ออก ลึก ๆ ทำแบบนี้ติดต่อกันประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้สมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้เต็มที่ ทำให้สมองโล่ง และรู้สึกสงบขึ้น ส่งผลให้มีสมาธิก่อนเริ่มงานได้ อย่างน้อยก็สามารถผ่านพ้นการทำงานในช่วงเช้าไปได้ด้วยดี 

กาแฟปลุกความสดชื่น

กาแฟปลุกความสดชื่น

คาเฟอีนในกาแฟไม่ได้มีดีแค่ช่วยแก้ง่วงเท่านั้น แต่คาเฟอีนยังช่วยเพิ่มสมาธิ ทำให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การดื่มกาแฟสักแก้วก่อนเริ่มงานจะทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ขอแนะนำว่าควรเป็นกาแฟดำ หรือชาเขียวร้อนมากกว่าจะเป็นเครื่องดื่มเติมน้ำตาลหรือนม เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพมากกว่าแล้ว ไม่อ้วนด้วยนา

ออฟไลน์สื่อโชเซียล 30-60 นาที 

ออฟไลน์สื่อโชเซียล

การที่ใจจดจ่อกับการตอบอีเมลล์หรือข้อความ อาจทำให้จังหวะการทำงานไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นควรจะออฟไลน์สื่อต่าง ๆ ไปพัก หรือแม้แต่การตอบอีเมลล์ก็ตาม (ถ้าไม่เกี่ยวกับงาน) หากทำได้ดังนี้ แล้วคุณจะพบว่า คุณสามารถเคลียร์งานที่มีอยู่ได้มากกว่าเดิม หรือสามรถทำงานได้มากขึ้น เพราะไม่ถูกขัดจังหวะหรือจดจ่อการตอบข้อความต่าง ๆ นั่นเอง 

อุณหภูมิมีผลต่อสมาธิ 

อุณหภูมิมีผลต่อสมาธิ

ไม่ว่าจะอากาศหนาวหรือร้อนเกินไป ล้วนแต่ส่งผลต่อสมาธิในการทำงานได้เช่นกัน จากการสำรวจในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอรืเนลล์พบว่า ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่ จะได้ผลดีและมีเกิดความผิดพลาดได้น้อยที่สุด หากทำงานท่ามกลางอุณหภูมิระหว่าง 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับร่างกายมนุษย์เรา 

ดื่มน้ำทุกชั่วโมง 

ดื่มน้ำทุกชั่วโมง

ทริคเพิ่มสมาธิอย่างง่าย ที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง คือ การดื่มน้ำให้เพียงพ  โดยการดื่มน้ำ 1 แก้ว ในทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เพราะน้ำมีส่วนในการช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทั้งในด้านกายภาพ และการเชื่อมโยงการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เนื่องจากร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% และในแต่ละวันเรามีการสูญเสียน้ำไปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เหงื่อ น้ำตา ปัสสาวะ อุจจาระ ที่นอกจากจะต้องดื่มน้ำเพื่อเข้าเสริมในส่วนที่ขาดหายไป แต่น้ำจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี เลือดสามารถเดินทางไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี สมองปลอดโปร่ง คิดหรือทำงานได้รวดเร็ว ฉับไว 

อย่าโหมทำงานแบบมาราธอน 

อย่าโหมทำงานแบบมาราธอน

การทำงานอย่างต่อนเนื่องโดยไม่มีการพักเสียบ้าง แม้ว่าบางครั้งอาจทำงานได้เยอะ แต่ร่างกายก็จะหมดแรงเร็ว และสมองตื้อและตันไวเช่นกัน เพราะสมองคนเราสามารถโฟกัสงานได้เพียงช่วงแรก และเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สมองจะเริ่มหลุดโฟกัสจากงาน เนื่องจากความเหนื่อยล้า และความสนใจก็ลดลง ดังนั้น ควรหยุด และพักบ้าง หันไปให้ความสนใจอย่างอื่น หรือหยุดพักนิ่ง ๆ หรือหามุมสงบ ๆ งีบประมาณ 10-20 นาที เพื่อพักสมอง และผ่อนคลายร่างกาย เมื่อตื่นขึ้นมาจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น เพราะสมองและร่างกายได้พัก เสมือนได้ชาร์จไฟเติมพลังงานนั่นเอง 

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม การได้นอนอย่างมีประสิทธิภาพมีผลต่อระบบการใช้ชีวิตที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะการได้หลับ 6-8 ชั่วโมง หรือการได้หลับลึก ทำให้ร่างกายและสมองได้ผ่อนคลาย และเป็นการชาร์จพลังงานให้สามารถทำทุกกิจกรรมได้ดีกว่าการอดนอน หรือนอนไม่พอ ซึ่งทีจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี สังเกตได้จากวันไหนที่เรานอนไม่พอ อย่าว่าแต่คุณภาพของการทำงาน แม้แต่จะลุกไปทำงาน ก็แทบจะไม่ไหวแล้ว 

อารมณ์ศิลปินเพิ่มสมาธิ 

อารมณ์ศิลปินเพิ่มสมาธิ

การฮึมฮัมเพลงโปรดก่อนหรือระหว่างทำงานก็ช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัว หรือเพิ่มสมาธิการทำงานได้ หรือเลือกเปิดเพลง วาด ๆ เขียน ๆ ก็ช่วยเรื่องการจดจำของสมองได้โดยที่เราไม่รู้ตัว 

งีบระหว่างวัน 

งีบระหว่างวัน

เพราะสมองมีการทำงานมาตลอดครึ่งวันตั้งแต่ลืมตาตื่นตอนเช้า การเร่งรีบและคิดแผนการเดินทาง การคิดงาน ดังนั้น ควรหาเวลางีบในช่วงเวลาพักอย่างน้อย 15-20 นาที ในช่วงพักทานข้าว หรือช่วงพักเบรค เพื่อผ่อนคลายสมองสักหน่อย ก่อนจะไปลุยงานต่อในช่วงบ่าย จะช่วยให้การทำงานตลอดบ่ายผ่านฉลุย ทำงานได้ไวขึ้นแน่นอน