เลือกแบตเตอรี่รถยนต์แบบไหนดี เมื่อแบตรถเสื่อม 

เหตุการณ์ รถดับ เครื่องยนต์ตายสนิทระหว่างทาง ขณะที่ขับไปทำงาน หรือต้องรีบไปทำธุรด่วน นอกจากจะสร้างอารมณ์หงุดหงิดให้กับผู้ขับขี่รถยนต์แล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งในหน้าที่การงาน ไปจนถึงความปลอดภัยของชีวิต ทั้งในแง่ของอุบัติเหตุ หรือช่วงนาทีชีวิตที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ให้เร็วที่สุด ยิ่งถ้ารถแบตหมดไม่มีสายพ่วง ไม่มีวิธีสำรองใดๆรองรับในขณะนั้น ยิ่งอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น ดังนั้นการดูแลรักษาและคอยหมั่นตรวจเช็คให้รถมีความพร้อมในการใช้งานอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเจ้าของรถทุกคน 

แต่ก็อาจมีผู้ขับรถมือใหม่หรือแม้แต่ผู้ขับขี่รถมานานไม่แน่ใจว่า สาเหตุที่รถดับเสียดื้อๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือสตาร์ทรถไม่ติดนั้นมาจากสาเหตุอะไร จะใช่สาเหตุแบตเตอรี่รถยนต์หมด หรือแบตเตอรี่รถเสื่อมกันแน่ เรามีวิธีสังเกตอาการแบตเตอรี่เสื่อมหรือแบตหมด เพื่อจะได้รู้แต่เนิ่นๆ ว่าเมื่อไรที่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว จะได้มีรถที่พร้อมใช้และมีความปลอดภัยตลอดระยะเวลาใช้งาน แต่ก่อนอื่นเราควรจะรู้ประเภทแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมใช้และที่มีจำหน่ายในประเทศไทยกันก่อน เพื่อจะได้ทำการเลือกซื้อติดตั้งให้เหมาะกับรถที่ใช้อยู่ 

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมใช้ในไทย 

หากเปรียบเทียบความนิยมในประเทศไทย อาจกล่าวได้ว่า แบตเตอรี่แบบเปียก หรือแบตเตอรี่แบบน้ำ คือแบตเตอรี่ที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ราคาถูกกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ชนิดน้ำนี้จะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลมากหน่อย โดยจะต้องคอยหมั่นเช็คระดับน้ำกลั่น และต้องคอยเติมน้ำกลั่นไม่ให้ต่ำกว่าขีดที่กำหนด เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องยนต์ และยังเสี่ยงต่อการทำให้แบตเสื่อมเร็ว หากน้ำกลั่นต่ำกว่าขีดหรือเผลอปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง จนต้องเปลี่ยนแบตรถยนต์บ่อยขึ้น ทำให้บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินไป 

ประเภทแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมต่อมาคือ แบตเตอรี่ที่ไม่ต้องดูแลบ่อย อย่าง แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง หรือ Maintenance Free ด้วยคุณสมบัติของแบตเตอรี่ชนิดนี้ กินน้ำกลั่นน้อยมาก ทำให้ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่าแบตเตอรี่รถยนต์แบบน้ำ แต่ก็ยังมีฝาให้เปิด-ปิด สำหรับเติมน้ำกลั่นอยู่ โดยจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 1.5 – 2 ปี หรืออาจใช้ได้นานกว่านั้นแต่ไม่เกิน 3 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่ปัจจัยย่อยอื่นๆด้วยเช่นกัน เช่น ลักษณะการใช้งาน การถนอมดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจส่งผลให้มีอายุการใช้งานได้นานยิ่งขึ้น แต่ความสเถียรในการทำงานก็ย่อมลดลงไปตามระยะเวลาการใช้งานด้วยเช่นกัน 

และแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมใช้ในอันดับต่อมาคือ แบตเตอรี่แห้ง ซึ่งเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ราคาแพงกว่าทุกชนิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานได้นานกว่า และไม่ต้องคอยดูแลหรือเติมน้ำกลั่น ทำให้ลดความยุ่งยาก เหมาะกับคนที่ไม่ชอบทำอะไรจุกจิก อย่างต้องคอยเช็คและเติมน้ำกลั่น หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเอาใจใส่ โดยแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดแห้งนี้จะมีตาแมวที่ไว้เช็คระดับไฟฟ้า หรือประจุไฟฟ้าที่มีเหลืออยู่ โดยอาจมีอายุการใช้งานได้นานถึง 5 ปี หรือใช้ได้นานไปถึง 10 ปี หากมีการดูแลรักษาสภาพแบตเตอรี่ให้ดีอย่างสม่ำเสมอ 

วิธีสังเกตอาการแบตเตอรี่เสื่อม

1. แบตเตอรี่บวม 

สังเกตว่าแบตเตอรี่บวมหรือไม่ หากไม่เห็นด้วยตาเปล่า อาจใช้มือไปสัมผัสข้างๆแบตเตอรี่รถ หากรู้สึกได้ว่าแบตรถยนต์บวม และสตาร์ทรถไม่ติด มีความเป็นไปได้สูงว่าแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ โดยอาการบวมแบตเตอรี่จำแนกได้ดังนี้

  • แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น หรือแบตเตอรี่กึ่งแห้ง หากเป็นกรณีที่มักจะถูกลืมเติมน้ำกลั่น ทำให้แผ่นธาตุในแบตเตอรี่บิดตัวแล้วแตกร่วงซ้อนกันจนแบตบวมเลยเก็บไฟไม่อยู่ แต่ถ้าแบตเตอรี่มีการใช้งานมานานเกิน 1 ½ แล้วเกิดอาการบวม ก็อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่หมดสภาพการใช้งานแล้ว 

  • กรณีที่ใช้แบตเตอรี่ยังไม่ถึง 1 ปี แต่แบตเตอรี่เกิดบวมขึ้น อาจมีสาเหตุจากไดชาร์จผลิตกระแสไฟไม่พอต่อการใช้งานของเครื่องยนต์ หรือเหลือกำลังไฟน้อยกว่า 13.6 โวลต์ ที่ต้องไหลกลับไปชาร์จแบเตอรี่รถยนต์ (Under Charge) เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์จะต้องการไฟชาร์จเข้าสูงกว่ากระแสไฟในตัวแบตเตอรี่ที่มีอยู่ 1 โวลต์เสมอ (ตัวแบตเตอรี่มีไฟอยู่12.6 โวลต์) ดังนั้นเมื่อไดชาร์จส่งไฟไปยังแบตเตอรี่ต่ำเกินไป จะทำให้เกิดคราบซัลเฟต (ขี้เกลือ) เกาะตามแผ่นธาตุข้างในแบตเตอรี่ จนหนาและกลายเป็นฉนวนกันไฟ ทำให้กระแสไฟไหลไม่สะดวกและส่งผลให้แบตเตอรี่บวมในที่สุด 

2. วัน/เดือน/ปี การติดตั้งแบตเตอรี่

โดยปกติรถยนต์ที่ใช้ขับในตัวเมืองอย่างกรุงเทพฯ หากแยกจำแนกตามประเภทรถ ส่วนใหญ่รถยนต์ญี่ปุ่นจะมีค่าวิ่งเฉลี่ยประมาณวันละ 40-50 กิโลเมตร เมื่อคำนวณค่าเฉลี่ยในการใช้งานตามระยะทางดังกล่าว จะสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ประมาณ 1 ½ ปี หรือภายใน 2 ปี ส่วนรถยนต์ฝั่งยุโรปอาจมีค่าเฉลี่ยการใช้งานในระยะทางที่เท่ากัน อยู่ในช่วงประมาณ 2 ½ ปี หรือเกือบๆ 3 ปี (แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทแบตเตอรี่ ลักษณะการใช้งาน และการดูแลแบตเตอรี่ประกอบด้วย) 

3.สังเกตสีของตาแมวบนแบตเตอรี่

กรณีที่ใช้แบตเตอรี่ที่มีการแสดงสถานะตาแมว ควรอ่านฉลากบนแบตเตอรี่ที่แสดงความหมายของสีตาแมว เพื่อจะได้เข้าใจสถานะของแบตเตอรี่ในขณะนั้น เช่น แบตเตอรี่หมดไฟ ให้ชาร์จไฟเพิ่มก็พอ ซึ่งตาแมวอาจเป็นสีขาวหรือสีดำ (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อแบตเตอรี่) หรือตาแมวสีน้ำเงิน คือใช้งานได้ปกติ เป็นต้น 

วิธีเลือกแบตเตอรี่ลูกใหม่เมื่อจะต้องเปลี่ยนแบตรถยนต์ 

เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไม่ว่าด้วยกรณีรถแบตหมดหรือว่าแบตรถยนต์เสื่อมก็ต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถลูกใหม่อยู่ดี แต่จะเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้ออะไรดี หรือควรเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดใดเหมาะสมกว่า จะต้องคำนึงถึงประเภทและรุ่นของรถที่ใช้ว่ารองรับแบตเตอรี่แบบไหน และลักษณะการใช้งาน รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ของผู้เป็นเจ้าของรถ หากคุณไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องการดูแลรถ หรือไม่มีเวลาตรวจเช็คและคอยเติมน้ำกลั่น ก็อาจไม่เหมาะกับการใช้แบตเตอรี่น้ำ เพราะถ้าคุณลืมเติมน้ำกลั่นหรือปล่อยให้ระดับน้ำกลั่นต่ำกว่าขีดหรือน้ำกลั่นแห้งบ่อยๆ จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากแถมต้องเสียเงินเพิ่มในการเปลี่ยนแบตบ่อยๆ ฉะนั้นเลือกซื้อแบตเตอรี่แห้งตั้งแต่ทีแรกเลยดีกว่า (แต่รถที่ใช้อยู่ต้องรองรับการใช้แบตเตอรี่แห้งด้วย) แม้จะราคาสูงกว่าแบตน้ำในทีแรก แต่ก็ไม่ต้องเสียเงินจุกจิกที่รวมกันบ่อยๆอาจแพงกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว 

การเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมป์สัมพันธ์กับขนาดของเครื่องยนต์ก็สำคัญ และเป็นส่วนที่จะมองข้ามไม่ได้เลย เพราะถ้าติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีจำนวนแอมป์น้อยกว่าขนาดเครื่องยนต์ เพราะคิดว่าจะประหยัดกว่า เช่น รถยนต์ขนาด 3,000 cc ซึ่งที่จริงควรจะใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาด 85 แอมป์ขึ้นไป แต่กลับเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์แทน แต่นั่นจะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วมาก และอาจใช้แบตเตอรี่ได้ไม่ถึง 1 ปี ทำให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เร็วขึ้น และยังเสี่ยงทำให้เครื่องยนต์ส่วนอื่นๆรวนตามไปด้วย เนื่องจากระบบเครื่องยนต์ย่อมทำงานร่วมกันกับแบตเตอรี่ เมื่อประสิทธิภาพการทำงานของแบตรวน มันก็จะกระทบตามๆกันไป ยิ่งทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายจุกจิกในการซ่อมแซมมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นการจ่ายแบบเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เชื่อเถอะว่าไม่คุ้มแน่ๆ 

การเลือกชนิดขั้วแบตเตอรี่ให้เหมาะกับประเภทรถยนต์ที่ใช้ก็สำคัญ หากใช้รถยุโรปก็ไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขั้วลอย ที่เหมาะกับการใช้สำหรับรถญี่ปุ่น ที่ถึงแม้ว่าจะมีขนาดแอมป์เท่ากันก็ตาม เนื่องจากรถยุโรปนั้นจะใช้กระแสไฟแรงกว่า อีกทั้งยังมีความต้านทานสูงกว่า จึงควรใช้แบตเตอรี่ขั้วจมสำหรับรถยุโรปจะเหมาะสมกว่า 

อีกข้อสำคัญในการเลือกซื้อแบตเตอรี่ คือ การเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่ใหม่สดจากโรงงาน เพราะจะได้แบตเตอรี่ที่มีอายุงานไม่เกิน 3 ปี หลังจากผลิต หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรงจากโรงงาน เพื่อความมั่นใจว่าได้ของใหม่ชัวร์ เพราะตัวแทนจำหน่ายสามารถเทิร์นคืนโรงงานได้สะดวกหากพบว่าแบตเก่าหรือมีปัญหา และยังจะได้ราคาถูก เพราะมักจะมีการกำหนดราคาที่แน่นอนกว่า นอกจากนี้ควรเลือกซื้อยี่ห้อแบตเตอรี่ที่เป็นที่นิยม และรู้จักกันอย่างแพร่หลายในตลาด เช่น แบตเตอรี่g7 เพราะเจ้าของแบรนด์จะต้องพิถีพิถันในการผลิตสินค้าออกมาให้มีคุณภาพดี ทั้งประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ รวมไปถึงความปลอดภัยในการใช้งาน เพื่อรักษาเครดิตและชื่อเสียงของแบรนด์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการป้องกันแบตเตอรี่ปลอม ที่อาจไม่มีหลักการผลิตที่ปลอดภัย จนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้