คุณเคยไหม…ตื่นเช้ามาแล้วจามไม่หยุด คันจมูก น้ำมูกไหลจนหายใจแทบไม่ออก? หลายคนอาจคิดว่าเป็นหวัดธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็น “โรคภูมิแพ้จมูก” ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้มากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน และมลภาวะต่าง ๆ อาการคันจมูกและคัดจมูกไม่เพียงทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังรบกวนการนอนหลับและการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า ทำไมภูมิแพ้ถึงทำให้เกิดอาการคันจมูก, มี วิธีแก้อาการภูมิแพ้และคัดจมูกอย่างไรให้ได้ผล, รวมถึงไขข้อสงสัยยอดฮิตว่า เป็นโรคภูมิแพ้ขาดวิตามินอะไร เพื่อให้คุณรู้วิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและหายใจได้โล่งขึ้นในทุกวัน
ทำไมภูมิแพ้ถึงทำให้เกิดอาการคันจมูก วิธีแก้ภูมิแพ้ คัดจมูก และเป็นโรคภูมิแพ้ขาดวิตามินอะไร
โรคภูมิแพ้เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่คนไทยจำนวนมากต้องเผชิญ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน และมลภาวะต่าง ๆ อาการที่มักพบได้บ่อยคือ “คันจมูก น้ำมูกไหล จามติดต่อกัน” บางครั้งก็มีอาการ “คัดจมูก” ทำให้หายใจไม่สะดวก โดยหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมภูมิแพ้ถึงทำให้เกิดอาการคันจมูก และมีวิธีแก้อย่างไร รวมถึงคำถามยอดฮิตว่า เป็นโรคภูมิแพ้ขาดวิตามินอะไร บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจอย่างละเอียด
โรคภูมิแพ้คืออะไร?
โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย “ตอบสนองเกินปกติ” ต่อสิ่งที่โดยทั่วไปไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือเชื้อรา เมื่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดและสร้างสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ฮีสตามีน (Histamine) ออกมา
สารฮีสตามีนนี้เองคือ “ตัวการหลัก” ที่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น
- คันจมูก
- น้ำมูกไหล
- จามบ่อย
- คัดจมูก
- คันตา หรือระคายเคืองในลำคอ
เมื่อร่างกายปล่อยฮีสตามีนออกมาในโพรงจมูก หลอดเลือดจะขยายตัว ทำให้เยื่อบุจมูกบวม และมีการหลั่งน้ำมูกมากขึ้น ส่งผลให้รู้สึกคันและจามไม่หยุด
ทำไมภูมิแพ้ถึงทำให้เกิดอาการคันจมูก
อาการคันจมูกเกิดจากการที่ เยื่อบุโพรงจมูก ถูกกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น หรือขนสัตว์ เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่จมูก ร่างกายจะปล่อยฮีสตามีนและสารเคมีอื่น ๆ ออกมา กระบวนการนี้ทำให้เส้นประสาทบริเวณโพรงจมูกไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น จึงเกิดความรู้สึก “คัน”
พูดง่าย ๆ คือ ร่างกายคิดว่ากำลังโดนโจมตี จึงปล่อยสารออกมาป้องกันตัว แต่กลับทำให้เราเกิดอาการคันและระคายเคืองแทน
ในบางคนอาจมีอาการหนัก เช่น
- จามติดกันหลายครั้ง
- น้ำมูกใส ๆ ไหลตลอด
- คัดจมูกตอนกลางคืน
- คันบริเวณเพดานปากหรือหูร่วมด้วย
ซึ่งอาการเหล่านี้มักกำเริบเมื่อเจอสิ่งกระตุ้น เช่น
- อากาศเย็นหรือเปลี่ยนกระทันหัน
- ฝุ่นจากผ้าปูที่นอน หมอน หรือพรม
- ขนสัตว์เลี้ยง
- กลิ่นน้ำหอม หรือควันบุหรี่
วิธีแก้ภูมิแพ้ คัดจมูก และลดอาการคันจมูก

การรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้นต้องอาศัยการดูแลหลายด้าน ทั้งการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การใช้ยา และการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นภูมิแพ้
นี่คือวิธีพื้นฐานและสำคัญที่สุด เช่น
- เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์
- ใช้ปลอกกันไรฝุ่น
- ดูดฝุ่นเป็นประจำ โดยใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มี HEPA filter
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ขนสัตว์ หรือให้คนอื่นช่วยทำความสะอาด
- ปิดหน้าต่างเวลามีฝุ่นมากหรือลมแรง
- งดใช้เครื่องหอมที่มีกลิ่นแรง เช่น น้ำหอม หรือสเปรย์ปรับอากาศ
ใช้น้ำเกลือล้างจมูก
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) ช่วยชะล้างฝุ่น เชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ทำให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้นและลดอาการคัดจมูกได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังหรือเป็นภูมิแพ้จากอากาศ
การใช้ยาแก้แพ้
ยาที่ใช้บ่อยคือกลุ่ม ยาแก้แพ้ (Antihistamines) ซึ่งจะช่วยยับยั้งฮีสตามีน ทำให้อาการคัน จาม และน้ำมูกลดลง โดยมียาทั้งชนิดกินและพ่นจมูก เช่น
- ลอราทาดีน (Loratadine)
- เซทิริซีน (Cetirizine)
- ฟีโซเฟนาดีน (Fexofenadine)
แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ง่วง หรือปากแห้ง
การพ่นยาสเตียรอยด์ในจมูก
สำหรับผู้ที่มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง แพทย์อาจให้พ่นยากลุ่ม สเตียรอยด์ในจมูก ซึ่งช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุจมูกได้ดี เช่น ฟลูติคาโซน (Fluticasone) หรือ โมเมทาโซน (Mometasone)
ยานี้ปลอดภัยกว่าที่หลายคนกังวล เพราะออกฤทธิ์เฉพาะในโพรงจมูก ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากนัก
การทำภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์อาจแนะนำให้ทำ ภูมิคุ้มกันบำบัด (Allergen Immunotherapy) โดยการฉีดหรือให้สารก่อภูมิแพ้ปริมาณน้อย ๆ เข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวและลดความไวต่อสารนั้นในระยะยาว
เป็นโรคภูมิแพ้ ขาดวิตามินอะไร?

แม้โรคภูมิแพ้จะมีสาเหตุหลักมาจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน แต่มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ภาวะขาดวิตามินบางชนิด ก็อาจทำให้ร่างกายไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น หรือมีภูมิคุ้มกันที่ไม่สมดุล
วิตามินดี (Vitamin D)
วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินดี จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน “ไวเกินไป” ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ง่ายขึ้น งานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำ มีแนวโน้มเป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดมากกว่าคนทั่วไป
แหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลาแซลมอน ไข่แดง เห็ด หรือการรับแดดอ่อนตอนเช้า
วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและยับยั้งการหลั่งฮีสตามีนในร่างกาย การได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอจึงช่วยลดอาการคัน จาม และคัดจมูกได้
อาหารที่ควรกินเพิ่ม เช่น ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี กีวี และผักใบเขียว
วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอีช่วยลดการอักเสบและเสริมความแข็งแรงให้เยื่อบุโพรงจมูก ลดอาการระคายเคืองและแห้งคัน เหมาะกับผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศแห้งหรือในห้องแอร์บ่อย ๆ
โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)
กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลา เช่น ปลาทูน่า หรือปลาซาร์ดีน ช่วยลดสารก่อการอักเสบ (Inflammatory mediators) ในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยภูมิแพ้อาการลดลงได้
ปรับพฤติกรรมเพื่อให้ภูมิแพ้ดีขึ้นในระยะยาว
นอกจากการรักษาและการรับประทานวิตามินแล้ว การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็มีส่วนสำคัญในการควบคุมอาการภูมิแพ้
นอนหลับให้เพียงพอ
การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานสมดุล หากพักผ่อนน้อยเกินไป ร่างกายจะอ่อนแอและไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น
ดื่มน้ำมาก ๆ
น้ำช่วยให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองและการคัดจมูก ควรดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้วเป็นอย่างน้อย
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันและการไหลเวียนของอากาศในปอด แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือควันมาก
ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน
โดยเฉพาะในห้องนอน เครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA filter สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กและไรฝุ่นได้ดี ช่วยลดอาการภูมิแพ้จมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป: ภูมิแพ้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ดูแลได้
อาการคันจมูก คัดจมูก หรือจามบ่อย ๆ จากภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายปล่อยสารฮีสตามีนเพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นอย่างฝุ่นหรือขนสัตว์ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ร่วมกับการล้างจมูก ใช้ยาแก้แพ้ และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านโภชนาการ การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย วิตามินดี วิตามินซี วิตามินอี และโอเมก้า-3 จะช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น และทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
แม้ภูมิแพ้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการนอนหลับ ดังนั้น การรู้เท่าทันและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณ “หายใจได้โล่งขึ้น” และใช้ชีวิตอย่างสบายทุกวัน

